228 Views Report Error
ในยุคจ้านกว๋อชุนชิว แคว้นเยี่ยนกำลังกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์สงครามกับแคว้นจ้าว ในการศึกองค์จักรพรรดิ์ต้องอาวุธของศัตรูบาดเจ็บสาหัส พระองค์ได้ฝากฝังประเทศและกองทัพไว้กับแม่ทัพหนุ่มผู้เก่งฉกาจอย่างมู่หยงสวีหู ผู้ซึ่งองค์จักรพรรดิชุบเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเด็กและเป็นพระสหายสนิทขององค์หญิงเยี่ยนเฟยเอ๋อ รัชทายาทองค์เดียวขององค์จักรพรรดิหลังการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ บรรดานายพลและเชื้อพระวงศ์กลับไม่ยอมรับแม่ทัพสามัญชนผู้ไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างมู่หยงสวีหูขึ้นเป็นผู้นำ ยังผลให้เจ้าหญิงเฟยเอ๋อต้องจำใจขึ้นเป็นจักรพรรดินีแทนเพื่อยุติความขัดแย้ง แต่แล้ว กองทัพที่นำโดยหวูป้า พระญาติขององค์จักรพรรดิเยี่ยนก็ก่อกบฏขึ้นเพื่อชิงบัลลังก์ การต่อสู้กันท่ามกลางไฟสงครามเป็นเหตุให้เจ้าหญิงเฟยเอ๋อได้พบกับต้วนหลางฉวน บุรุษแปลกหน้าที่ใช้ชีวิตสันโดษอยู่ในป่า อิสตรีผู้บอบบางอย่างเยี่ยนเฟยเอ๋อจะทำอย่างไรกับความขัดแย้งและภาระบนไหล่ปา ในเมื่อพระนางได้ทรงตกหลุมรักต้วนหลางฉวนแล้วหนังโปรยคำนิยมไว้ตั้งแต่เข้าโรงว่ากำกับโดยเฉินเสี่ยวตง ผู้กำกับคิวบู๊ Hero และ Curse of the Golden Flower เรียกน้ำลายของผู้ที่นิยมหนังจีนแนวประวัติศาสตร์อิงดราม่าได้เป็นอย่างดีครับหนังผูกโยงเรื่องราวความรักที่คล้ายๆจะกลายเป็นสามเส้าระหว่างเยี่ยนเฟยเอ๋อ ต้วนหลางฉวน และมู่หยงสวีหูไว้ได้อย่างละเอียด และค่อนข้างมีน้ำหนักเชิงตรรกะมากกว่าอารมณ์ แม้เรื่องราวความรักสามเส้าระหว่างสงครามแย่งชิงอาณาจักรหรือกบฏแผ่นดินจะเป็นฉากที่เราพบเห็นค่อนข้างบ่อยในภาพยนตร์จีนประวัติศาสตร์อิงดราม่า แต่ Am Empress and the Warriors กลับถ่ายทอดออกมาได้แม้อาจจะดูพื้นๆไปหน่อย แต่ก็จัดได้smooth ไม่น้อย โดยเฉพาะการผูกร้อยเรื่องราวของความขัดแย้งในเชิงอารมณ์และเชิงการเมืองว่ามีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองในระดับพอสมควรหนังใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อยในเชิงตัวละครมากเป็นพิเศษ เกือบๆจะเรียกได้ว่าใช้อุปนิสัยและการกระทำของตัวละครกำหนด plotแทนการเขียนเนื้อเรื่องให้ตัวละครเดินตามเลยก็ว่าได้ มีการใส่ contrast และ metaphor ลงในตัวของนางเอกเยี่ยนเฟยเอ๋อ ทำให้ตัวเธอมีน้ำหนัก และมีมิติแทนที่จะเป็นแค่เจ้าหญิงนักรบธรรมดาๆ ใครชอบผู้หญิงที่มีทั้งความร่าเริงและเข้มแข็งอยู่ในคนเดียวกัน ผมคิดว่าคงจะชอบเยี่ยนเฟยเอ๋อไม่น้อย โดยเฉพาะเวลาเธอสวมบทบัญชาการรับ องอาจเหมือนผู้ชายอกสามศอกจริงๆครับ ความ contrast ของนิสัยเฟยเอ๋อทำให้หนังดูนุ่มนวลลง โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เธอแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมา แต่ก็ยังไม่ทำให้อรรถรสเชิงการเมืองและสงครามลดน้อยไปแต่อย่างใด ผู้เขียนบทเองก็ได้ตีความอิสตรีออกมาได้อย่างถ่องแท้ น่าเสียดายที่เรามีตัวละครหญิงประเภทนี้ไม่น้อยแล้วในโลกภาพยนตร์ ทำให้เยี่ยนเฟยเอ๋อดูไม่ค่อยแปลกใหม่ และทำให้ตัวหนังไม่โดดเด่นนักเท่าที่ควร ยิ่งกอปรกับ plot เรื่องรักสามเส้า หน้าที่ และสงครามแล้ว ยิ่งทำให้ An Empress and the Warriors ดูกลายเป็นหนังที่ธรรมดาไปหน่อยในส่วนของคนที่คาดหวังจะได้เห็นอะไรแปลกๆบ้างน่ะนะครับฟากสองพระเอกมู่หยงสวีหู่กับตัวนหลางฉวน สองคนนี้ก็เป็นตัวละครที่แสดงความเป็นผู้เสียสละได้อย่างน่าชื่นชม เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีน้ำหนักและสมจริง ต้วนหลางฉวนแสดงออกความรู้สึกและทุกสิ่งทุกอย่างได้สมกับบทบาทนักรบผู้สละตนจากสงคราม ข้างฝ่ายมู่หยงสวีหูก็แสดงออกถึงความเป็นนักรบที่กษัตริย์ทรงวางพระทัยได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะความรู้สึกที่มีต่อเฟยเอ๋อที่สื่อออกมาโดยไม่ต้องใช้คำพูดเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ข้อบกพร่องหลักของหนังเรื่องนี้ก็กลับอยู่ที่สองคนนี้ นั่นคือ ความไม่สมดุลของบทบาทนั่นเอง ใครไปดูแล้วอาจจะรู้สึกขาดๆเกินๆบ้าง ก็อยู่ที่สองคนนี้แหละครับผมว่า เราจะเห็นต้วนหลางฉวนซึ่งเป็นตัวหลักฝ่ายชายของเรื่องมีบทบาทที่ส่งผลต่อเนื้อเรื่องน้อยเอามากๆ แถมเป็นพระเอกที่พบเห็นได้ตามสื่อต่างๆอีกซะด้วยส่วนมู่หยงสวีหู่พระรองกลับโดดเด่นเป็นอย่างมากตลอดทั้งเรื่อง ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะธีมของเรื่องคือสงคราม ขุนพลอย่างสวีหูจึงมีโอกาสได้แสดงบทบาทที่สมเป็นพระเอกมากกว่าหลางเฉิง สรุปแล้วมันทำให้หนังเรื่องนี้ดูขาดๆเกินๆ ประหนึ่งตาชั่งที่เอียงข้างซ้ายบ้างขวาบ้าง ดูยังไงๆก็ไม่สมดุล นับเป็นจุดที่น่าเสียดายครับองค์ประกอบฉาก คิวบู๊ และเครื่องแต่งกาย ก็ไม่ต้องคาดหวังว่าจะเห็นอะไรแปลกใหม่ไปจาก Hero หนังยังคงเน้นเครื่องแต่งกายที่อลังการ ดูเป็นจีนโบราณที่ร่ำรวยขนาดสรรหาชุดเกราะสลักลายมาให้ตัวละครสวมใส่ได้เยอะมากแถมมุมกล้องของคิวบู๊ โดยเฉพาะฉากห่าธนู ก็ถอดแบบมาจาก Hero ไม่มีอะไรผิดแผก แม้แต่ฉากดวลของสวีหูกับหลางเฉิงที่ฝายกั้นน้ำยังดูคล้ายฉากดวลของฟ้าเวิ้งและไร้นาม ต่างกันเล็กน้อยตรงบรรยากาศเท่านั้น แต่ก็จัดเป็นสเน่ห์ของหนังจีนประวัติศาสตร์อิงดราม่าแนวนี้ที่ดูได้สะใจจริงๆ ดูหนังใหม่